คดีลักทรัพย์ในวังหลวง ภาค3 คิดเล่นๆ



เรื่องพระธนิยกุมภการบุตร

คิดเล่น เล่น เรื่องเจตนา ลองวิเคราะห์การตัดสินเรื่อง อาบัติปาราชิก เรื่องการลักทรัพย์


 

เล่น เล่น 1

รู้ได้ไงว่าพระธนิยะเจตนา ?

     ในเมื่อท่านบอกว่าที่ทำไปเพราะ พระราชาพูดเองว่า “ข้าพเจ้าถวายหญ้า ไม้ และน้ำแก่สมณพราหมณ์ ขอสมณพราหมณ์โปรดใช้สอยเถิด ”

    แต่โดยความจริง แบบนี้น่าจะเรียกว่า ตีความเข้าตัวมากกว่า ไม่น่าจะเรียกว่าใสซื่อนะครับ เพราะไม้ที่ท่านเอามานั้น 

     1. มีคนออกแรงไปตัดมาจากป่า 
     2. มีการเอามาเก็บรักษา 
     3. มีแผนจะเอาไปใช้งาน 
     ดูยังไงก็มีเรียกได้ว่า มีเจ้าของ

     ลองมองย้อนมาดูในปัจจุบัน ถ้าปล่อยให้มีการตีความแบบพระธนิยะ แล้วสมมติว่าเราอยู่ในที่ทำงานแล้วมีพระบุกมาบอกว่าทุกอย่างเป็นของหลวง สามารถเอาไปใช้ได้ แล้วยึดที่ทำงาน ใช้น้ำฟรี ไฟฟรี สังคมคงจะวุ่นวาย กว่านี้มาก






เล่น เล่น 2
 

มองในมุมกลับถ้า คนที่ตีความว่าไม้ทุกต้นเป็นของพระ เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลไม้..!

จากนั้นเจ้าหน้าที่เอาไปถวายพระธนิยะ แล้วพระธนิยะจะผิดหรือไม่ ...?

เรื่องความโปร่งใสกับหลักในการปฏิบัติจริงๆ
 เรื่องนี้น่าจะคิดได้2 step

     1. เจ้าหน้าที่ผิดข้อหาขโมยไม้

     2. ส่วนพระที่รับมาท่านไม่ผิด เพราะไม่รู้ ถ้าจะให้พระไปนั่งถามว่าของที่ถวายได้มาจากไหนก็แปลกแล้ว ถึงมีก็คงไม่มีใครถามว่าขโมยมารึเปล่า ? แล้วขวานที่ตัดเอามาจากไหน ? ขโมยขวานมาหรือเปล่า ?


 


พูดเรื่องนี้นึกถึงโฆษณานี้เลย








เล่น เล่น 3

     ถ้าเทียบกับปัจจุบัน เราจัดงานแต่งงาน มี เพื่อนๆ ญาติๆ เพื่อนพ่อ เพื่อนแม่ คนข้างบ้าน .... ฯลฯ มาร่วมงาน ซึ่งตามธรรมเนียมก็มีซองมาด้วย ถ้าคู่บ่าวสาว มาคอยถามว่า เอาเงินมาจากไหน ? ขโมยมารึเปล่า ? คุณป้าเงินเดือนเท่าใดถึงมีเหลือมาใส่ซองร่วมงาน ? หรือประกาศแนบไปในการ์ดแต่งงานว่า กรุณาส่งบัญชีรายได้มาพร้อมในซองด้วย ! ..... แล้วใครจะมาร่วมงาน


 


   วันนี้คงจะพอเท่านี้ อ่านธรรมะแล้วได้ข้อจริงๆนะครับคิดว่า ....

    “ฟังธรรมเมื่อใด ให้ลองมองย้อนดูตัวเอง” 



 

ปล. ข้าพเจ้าไม่ได้ แอนตี้เรื่องความโปร่งใสนะครับ แต่บางอย่างมันเป็นไปได้ยากในการนำมาใช้จริง
สรุปว่าทุกอย่างควรทำแต่พอดีนะครับ  เพราะในสังคมเราไม่ได้มีแค่กฎหมาย แต่ยังมีเรื่องมารยาท ประเพณี วัฒนธรรม เป็นส่วนประกอบในการดำเนินชีวิตด้วย

ความคิดเห็น