คดีลักทรัพย์ในวังหลวง ภาค1



     ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดีแถมยังมีของหาย พอจับขโมยก็มีการสอบสวนด้วยวิธีการต่างๆ เรามาดูกันว่าถ้าเมื่อยุคพระพุทธองค์มีเทคนิคยังไง ซึ่งต้องมาทำความรู้จักกับ ปาราชิกข้อที่2 มีใจความว่า
 
 


แปลกันตรงๆคือ “ห้ามลักทรัพย์” ซึ่งจะเข้าข่ายได้ต้องประกอบด้วยเหตุ 5 อย่างเหมือนที่หลายๆคนทราบกันแล้วคือ

     1. มีเจ้าของ

     2. รู้ด้วยว่ามีเจ้าของ

     3. ทรัพย์มีค่ามากในระดับติดคุกในกฎหมายทางโลก (มีที่มาว่าทำไมต้อง 5 มาสก )

     4. มีเจตนาคิดจะลักทรัพย์ ภาษาบาลีเรียกว่า “ ไถยจิต” เดี๋ยวค่อยมาขยายความเพราะเป็น Highlight ของเรื่องนี้กันเลย

     5. ทรัพย์นั้นเคลื่อนจากที่ตั้ง




case


เรื่องพระธนิยกุมภการบุตร

ที่เมื่อมคธ ของพระเจ้าพิมพิสาร มีพระชื่อพระธนิยะ เข้าไปหาเจ้าหน้าที่ดูแลไม้ในเมือง แล้วไปขอไม้เพื่อมาสร้างกุฏิ เจ้าหน้าที่จึงปฏิเสธว่า

“ตัวผมเองไม่มีไม้ มีแต่ไม้ของหลวงเก็บไว้ซ่อมแซมเมือง แต่ถ้าพระราชาสั่งให้พระราชทาน ท่านก็เอาไปได้ครับ”

   พระธนิยะจึงตอบว่า

“พระราชาได้พระราชทานไม้ให้อาตมาแล้ว”

   เจ้าหน้าที่จึงมอบไม้ให้ไปทำกุฏิด้วยความปลื้มใจ เพราะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง หลังจากนั้นไม่นานมีการมาเช็คจำนวนไม้ที่เก็บไว้พบว่าหายไปเจ้าหน้าที่ดูแลไม้จึงโดนจับไปสอบสวน เพื่อพระเจ้าพิมพิสารถามก็บอกว่า

“มีพระมาเอาไป ท่านบอกว่าพระองค์พระราชทานให้แล้ว”

   พระเจ้าพิมพิสารก็งงว่าถวายไปตอนไหน แต่เพื่อความแน่ใจจึงนิมนต์พระธนิยะมาสอบถาม เมื่อได้พบจึงกราบแล้วถามว่า

“พระคุณเจ้า ไม้ของหลวงที่เก็บไว้ โยมถวายแก่พระคุณเจ้าจริงหรือ …?”

“จริง มหาบพิตร”

   แต่พระราชาก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีจึงถามต่อไปด้วยความสงสัยว่า

“โยมเป็นพระเจ้าแผ่นดิน มีงานมาก ถึงจะถวายไปแล้วก็จำไม่ได้ โปรดเตือนความจำให้โยมด้วย”

   พระธนิยะ จึงกล่าวว่า

“วันที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ ท่านได้พูดว่า ข้าพเจ้าถวายหญ้า ไม้ และน้ำแก่สมณพราหมณ์ ขอสมณพราหมณ์โปรดใช้สอยเถิด ” …!?

   ผู้ที่ได้ยินถึงกับงงกันเป็นแถบเมื่อเจอการตีความเข้าตัวที่เกินคาดเช่นนี้ ยังดีที่ผู้เป็นพระโสดาบันอย่างพระเจ้าพิมพิสารได้ตอบกลับไปว่า

“พระคุณเจ้า โยมจำได้ ที่พูดนั้นหมายถึง หญ้า ไม้ และน้ำที่ไม่มีเจ้าของซึ่งอยู่ในป่า ท่านจงใจใช้เป็นข้ออ้างเพื่อเอาไม้ไปใช้แบบนี้ ช่างไม่ละอาย รู้ผิดชอบชั่วดี พระราชาอย่างโยมจะฆ่า ลงโทษสมณพราหมณ์ที่ทำผิดอย่างไรได้ นิมนต์กลับไปเถิด ท่านรอดตัวเพราะห่มจีวร แต่อย่าได้ทำอย่างนี้อีก”



   

   เมื่อพระพุทธเจ้าทราบท่านจึงได้เรียกประชุมสงฆ์ ในครั้งนั้นมีพระซึ่งเคยเป็นอำมาตย์ตำแหน่งผู้พิพากษาอยู่ด้วย หลังจากทำการสอบสวนแล้วท่านจึงกล่าวว่า

“กระทำอย่างนี้ไม่สมควร ไม่เหมาะสม ไม่ใช่กิจของสมณะ ไม่ควรทำ การกระทำอย่างนี้ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา มีแต่จะทำให้คนที่ไม่ศรัทธาก็ยิ่งไม่ศรัทธา และคนที่ศรัทธาบางส่วนอาจศรัทธาลดลงได้”












ยัง ยัง ไม่จบ มีต่อตอนต่อไป




ความคิดเห็น