คดีลักทรัพย์ในวังหลวง ภาค2 - ไถยจิต


เรื่องพระธนิยกุมภการบุตร

     มีเกร็ดความรู้อยู่เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ คือ มีหลักเกณฑ์ตัดสินเรื่องลักทรัพย์โดยมองที่ เจตนา เป็นสำคัญ คำถามจึงเกิดขึ้นว่า แล้ว

จะรู้ได้ไงว่ามีหรือไม่มีเจตนา ?

คดีแบบไหนไม่ถือว่าเป็นอาบัติปาราชิก ?

พระพุทธเจ้าจึงให้หลัก ไถยจิต เอาไว้ 8 ข้อ สรุปได้ดังนี้

     1. เข้าใจผิดว่าเป็นของตน

     2. ถือเอาด้วยวิสาสะ

     3. ขอยืม

     4. ทรัพย์ที่เปรตหวง (ต้องใจถึงมากจึงจะไปเอาได้)

     5. ทรัพย์ที่สัตว์ดิรัจฉานหวง

     6. เข้าใจผิดว่าเป็นของบังสุกุล คือ คิดว่าเป็นของทิ้งแล้ว ไม่มีเจ้าของ

     7. ภิกษุวิกลจริต

     8. อาทิกัมมิกะ แปลว่า ผู้ทำคนแรก ทำให้ต้องตั้งกฎขึ้นมา

     ไม่แปลกที่เกิดมาพึ่งเคยได้ยินเรื่องนี้ทั้งๆที่มีมานานแล้ว แต่พอถึงจุดนี้ค่อยอุ่นใจ เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะมีคดี เช่น จับพระสึกข้อหาใส่รองเท้าสลับกับเพื่อนหลังจากไปสวด มนต์ ...!! 



วิเคราะห์การตัดสินเรื่อง อาบัติปาราชิก เรื่องการลักทรัพย์

1. พระพุทธเจ้าทำทุกอย่างตามหลักคือ เรียกประชุมสงฆ์ ซึ่งมี โจทย์ จำเลย หลักฐาน โดยมีกรรมการที่ทรงคุณวุฒิเคยเป็นถึงผู้พิพากษา ขั้นตอนการตัดสินของศาสนาพุทธมีความโปร่งใสมาก

2. การจะตัดสินว่าใครผิดอะไร ท่านดูเจตนาเป็นสำคัญ เห็นได้จากมีหลัก ไถยจิต เป็นตัวช่วยในการพิจารณา เหมือนกับระบบศาลยุติธรรมในปัจจุบัน  










ยัง ยัง ไม่จบ มีต่อตอนต่อไป ภาค ประเมินเจตนา

 


ความคิดเห็น